แน่นอนว่าคนไทยทุกคนต้องรู้จักหรือเคยใช้บริการของ DTAC กันมาบ้าง เพราะว่าเป็นบริษัทโทรคมนาคมที่ยิ่งใหญ่และอยู่คู่คนไทยมาอย่างยาวนาน ในบทความนี้ผมจะมาวิเคราะห์พื้นฐานและกราฟเทคนิคอย่างละเอียด โดยจะเสริมมุมมองต่อธุรกิจที่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต และให้ข้อมูลสำหรับเทรนของเทคโนโลยีที่พัฒนาไปไกลมากบนโลกใบนี้ ท่านใดที่เป็นผู้ใช้บริการของเครือข่ายอื่น ผมขอให้ท่านมองข้ามเรื่องต่างๆแล้วเรามา ดำดิ่งไปกับข้อมูลที่จะช่วยให้หลายๆท่านเข้าใจธุรกิจ และใช้เป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจลงทุนในฐานะนักลงทุนกันครับ

หุ้น DTAC ดีสมชื่อจริงๆหรือเปล่า

บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ที่เรารู้จักกันในนาม DTAC ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1989 หรือเพียงแค่ 30 ปีที่แล้วนี้เอง แต่สิ่งที่ทำให้เราทุกคนรู้จักชื่อของ DTAC เป็นเพราะการที่บริษัทมองการไกลและเข้าใจถึงเทรนหรืออนาคตที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนที่จะจัดตั้งบริษัท ประธานกรรมการบริษัทคนปัจจุบัน คือ คุณ บุญชัย เบณจรงคกุล ได้เห็นถึงการเติบโตของธุรกิจสื่อสารที่กำลังจะเปลี่ยนรูปแบบจาก โทรศัพท์บ้าน หรือ เพจเจอร์ มาเป็นการให้บริการ โทรศัพท์ไร้สาย หรือ มือถือ นั่นเอง บวกกับการที่เทคโนโลยีด้านการสื่อสารนั้นพัฒนาไปแบบก้าวกระโดด จากมือถือธรรมดา ที่แค่โทรคุย รับส่งข้อความ ได้เปลี่ยนเป็น สมาร์ทโฟนอย่างในปัจจุบัน ที่ใช้ อินเตอร์เน็ตในการเชื่อมต่อซึ่งกันและกัน

วิเคราะห์หุ้น dtac 2019

ข้อมูล ณ สิ้นปี 2562 DTAC มีผู้ใช้บริการกว่า 20.6 ล้านราย หรือคิดเป็นกว่า 1 ใน 3 ของประชากรประเทศไทยทั้งหมดและยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อขึ้นไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีคู่แข็งหลักๆแค่ไม่กี่รายในอุสาหกรรม แต่การที่จะดำเนินธุรกิจจำเป็นที่จะต้องประมูลคลื่นความถี่จาก กสทช. ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาล ที่มีจำนวนคลื่นจำกัดและใช้งบประมาณในการประมูลคลื่นสูงมาก บวกกับการที่เทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็วคลื่นที่ประมูลมาได้อาจจะไม่สามารถรองรับความต้องการของผู้ใช้งานได้ เนื่องจากมีเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาทดแทนได้ตลอด เช่น ประเทศไทยแข่งกันประมูลคลื่น 4G แต่ประเทศอื่นๆ เช่น ประเทศจีน และ สหรัฐอเมริกา ได้พัฒนาไปใช้เทคโนโลยี 5G แล้ว สรุปได้ว่าบริษัทในกลุ่มโทรคมนาคมต้องปรับตัวไปพร้อมกับโลกและเทคโนโลยีสมาร์ทโฟนให้ได้อย่างรวดเร็วเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้บริการตลอดเวลา

บริการที่คาดไม่ถึงของ ธุรกิจโทรคมนาคม

อย่างที่กล่าวไปข้างต้น เนื่องจากโลกของเราในยุค Digital นั้นพัฒนาแบบก้าวกระโดด หรือ Exponential Curve ไม่ใช่ Flat Curve เหมือนยุค Industrial หรือ ยุค Agriculture บริษัทต่างๆจึงต้องรีบพัฒนาเพื่อให้ตามทันเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ในธุรกิจโทรคมนาคมการที่ได้คลื่นความถี่ที่ดีหรือจำนวนมากกว่าคู่แข่งเปรียบเสมือนการนำหน้าคู่แข่งไปแล้วหลายเท่าตัวเนื่องจากผู้ใช้บริการสามารถตัดสินใจเปลี่ยนไปหาผู้ให้บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการที่มากกว่าได้อย่างง่ายดาย

ในอนาคตการที่จะทำให้ประเทศไทยได้ใช้ รถยนต์ไร้คนขับ สังคมไร้เงินสด หรือแม้กระทั่งวงการการแพทย์ยุคใหม่เอง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีระบบอินเตอร์เน็ตที่เสถียรและมีความเร็วที่มากกว่าที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันมหาศาล คุณลองคิดดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณสามารถ เรียกรถแท็กซี่มารับถึงหน้าบ้านจากมือถือโดยไม่ต้องมีปัญหาหรือมีอันตรายจากคนขับ การได้รับการรักษาจากแพทย์ผู้เชียวชาญจากต่างประเทศ โดยที่คุณรักษาตัวอยู่ที่เมืองไทย ซึ่งเคสแบบนี้ได้เกิดขึ้นแล้วที่ประเทศจีน โดยแพทย์ชาวจีนได้ทำการควบคุมเครื่องมือผ่าตัดและทำการรักษาคนไข้ที่อยู่ห่างออกไป 5 พันกิโลเมตรได้อย่างปลอดภัย คุณอาจจะมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่ว่ามันคือเรื่องจริงที่กำลังจะเกิดขึ้นกับโลกเราอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นธุรกิจโทรคมนาคมซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านอินเตอร์เน็ตก็จะได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่พัฒนาไปด้วยหรืออาจจะกลายมาเป็นธุรกิจที่สามารถทำเงินให้อย่างมหาศาลมากกว่าการให้บริการแบบดั่งเดิม

Innovation distinguishes between a leader and a follower.

-Steve Jobs

ถ้าไม่พัฒนาให้ดี งั้นเราทำเองก็ได้ . .

วิเคราะห์หุ้น dtac 2019

ย้อนกลับไปไม่กี่ปีก่อน ในขณะที่ประเทศไทยกำลังทำการประมูลคลื่นความถี่ 4G กันอย่างดุเดือด บวกกับราคาที่แพงมหาศาล ทำให้หลายๆบริษัทต้องมาเก็บค่าบริการกับผู้ใช้งานมากขึ้นเพื่อให้บริษัทมีกำไร บริษัทระดับโลกที่เรารู้จักกันอย่างดี นั่นก็คือ Facebook Amazon Microsoft และ Google ได้มองเห็นปัญหาเดียวกันนั่นก็คือการเก็บค่าบริการอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็น สมาร์ทโฟน หรือ Wifi ที่มีราคาที่สูงเกินไปในประเทศที่กำลังพัฒนา หลายๆบริษัทจึงมีความคิดที่ตรงกันว่าจะเป็นผู้ให้บริการด้านอินเตอร์เน็ตเองซะเลย โดย Facebook เริ่มมีโปรเจค โดยทำการปล่อยโดรน Aquila ขึ้นไปบนฟ้า เพื่อกระจายคลื่นอินเตอร์เน็ตที่มีความเร็วสูงให้แก่พื้นที่ๆห่างไกลเพื่อที่จะได้มีผู้เข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้มากขึ้น เหตุผลที่ทำแบบนี้เพราะว่ายิ่งมีผู้ที่เข้าถึงอินเตอร์เน็ตมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะมีผู้ใช้บริการของ Facebook มากขึ้นเท่านั้น บริษัทก็สามารถทำกำไรจากผู้ใช้งานตรงนี้ได้มากขึ้น ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพราะว่าคนที่ยังไม่ได้เข้าถึงอินเตอร์เน็ตเป็นฐานลูกค้าใหม่ที่มีจำนวนสูงมากและสามารถเพิ่มบัญชีผู้ใช้งานได้มากกว่าการที่ทำการตลาดกับกลุ่มผู้ใช้เดิม ถ้าเป็นแบบนี้วันนึงเราอาจจะได้ใช้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงและที่เสถียรโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเลยก็เป็นได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจโทรคมนาคมในไทยโดยตรงอย่างแน่นอน เพราะว่าทุกวันนี้เราแทบจะไม่ได้ใช้การโทรแบบปกติเพื่อติดต่อกันแบบเมื่อก่อนแล้ว ขอแค่เรามีอินเตอร์เน็ตจาก Wifi เราก็สามารถโทรติดต่อกับใครก็ได้ผ่านสมาร์ทโฟนที่เชื่อมต่ออิเตอร์เน็ตได้เลยไม่ต้องเสียค่าโทรแม่แต่บาทเดียว และถ้าเป็นอย่างงั้นกำไรจากการใช้บริการมือถือก็จะลดลงและกระทบต่อผลประกอบการบริษัทโดยรวม

งบการเงิน

หุ้น dtac
หุ้น AIS
หุ้น INTUCH

จากงบการเงิน เริ่มจาก สินทรัพย์ของ DTAC จะเห็นได้ว่าจำนวนสินทรัพย์รวมของบริษัทได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอยู่ในระดับแสนล้านบาท โดยสินทรัพย์รวมจากปี 2561 ไป 2562 เพิ่มขึ้น 10.85% และหนี้สินรวม เพิ่มขึ้น 10.34% ทำให้เห็นว่าจำนวนสินทรัพย์นั้นเพิ่มขึ้นมากกว่าหนี้สินอยู่ที่ 0.51% ซึ่งถือว่าการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์นั้นไม่ได้ก่อให้เกิดหนี้สินมากจนเกินไป บวกกับปริมาณเงินสดและสินทรัพย์หมุนเวียนที่บริษัทมี อยู่ในระดับที่สูงหลักหมื่นล้าน ทำให้บริษัทมีสินทรัพย์ที่สามารถแปลงมาเป็นเงินสดได้สูง เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับบริษัทได้ในยามวิกฤติ แต่การที่ถือเงินสดมากเกินจำเป็นอาจจะทำให้บริษัทเสียผลประโยชน์จากการนำเงินไปลงทุนให้เกิดผลตอบแทนที่สูงกว่าได้ ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ของผู้บริหารแต่ละท่าน

ต่อกันด้วยยอดขายของบริษัทที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสวนทางกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ทำให้บริษัททำกำไรได้มาขึ้นนั่นเอง จากตารางงบกำไรขาดทุน บริษัทสามารถลดต้นทุนการขายและค่าใช่จ่ายจากการขายและบริการได้มากถึง 10.54% จากปี 2561 บวกกับ มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นถึง 8.25% ส่งผลให้ผลประกอบการของปี 2562 บริษัทมีกำไรมากขึ้น ถึง 224% จากขาดทุน 4,368 ล้านบาท มากำไร 5,421 ล้านบาท ส่งผลโดยตรงกับกำไรต่อหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้น ต้องบอกว่าการที่จะเพิ่มกำไรในการประกอบธุรกิจนั้นมีอยู่ 2 ทาง คือ เพิ่มรายได้หรือยอดขาย และ การควมคุมต้นทุน หรือ ลดค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการขาย ซึ่ง DTAC สามารถทำได้ดีทั้ง 2 ทาง จึงส่งผลให้บริษัทสามารถผลิกกลับมาทำกำไรได้อย่างมหาศาล

หลังจากวิเคราะห์งบการเงินกันไปแล้วเราไปดูราคาหุ้นของ DTAC กันว่าสอดคล้องกับกำไรที่เติบโตของบริษัทหรือไม่

“If a business does well, the stock eventually follows.”

– Warren Buffett

กราฟราคาหุ้น DTAC

หุ้น DTAC ปันผล
ราคาหุ้น dtac ย้อนหลัง

จะเห็นได้ว่าจากกราฟ ราคาหุ้นของ DTAC ณ สิ้นปี 2561 อยู่ที่ 43.25 บาท และสิ้นปี 2562 อยู่ที่ 53.25 บาท หรือเพิ่มขึ้น 10 บาท ในหนึ่งปี คิดเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 23.12% ถ้าคุณลงทุนในหุ้นตัวนี้ ณ สิ้นปี 2561 1ล้านบาท สิ้นปี 2562 คุณจะมีเงิน 1,231,200 บาท หรือ กำไร 231,200 บาทนั่นเอง ถือว่าเป็นผลประกอบการที่ไม่เลวเลยสำหรับการลงทุนในตลานหุ้น ซึ่งมาดูราคาหุ้น ณ วันที่ 29 พ.ค. 2563 ที่มีผลกระทบจากไวรัสโควิด 19 ราคา YTD ลดลงมา -16.43% ซึ่งถ้าเราเข้าซื้อหุ้น ณ จุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2563 ที่ราคา 27 บาทแล้วถือมาขาย ณ วันที่ 29 พ.ค. 2563 ที่ราคา 44.50 บาท เราจะได้กำไรถึง 64.81% ในระยะเวลาเพียงแค่ 2 เดือนกว่าๆ แต่ถ้าใครที่พลาดโอกาสทำกำไรไปแล้วก็ไม่ต้องเสียดาย เพราะว่าผลประกอบการในไตรมาสแรกของปี 63 นั้น DTAC ทำได้ดีเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่แล้ว หมายความว่าถ้าบริษัทสามารถรักษาอัตราการทำกำไรในปี 63 ได้ ราคาหุ้นก็จะกลับไปยืน ณ จุดเดิมได้ในอนาคต

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า ธุรกิจโทรคมนาคมได้กระผลกระทบจากวิกฤติไวรัสโควิด 19 น้อยกว่าธุรกิจอื่นๆ เนื่องจากการให้บริการส่วนใหญ่ไม่จำเป็นที่จะต้องใกล้ชิดกับลูกค้าโดยตรง บวกกับการที่ประชาชนส่วนใหญ่กักตัวเองอยู่ที่บ้าน ทำให้อัตราการใช้บริการอินเตอร์เน็ตพุ่งสูงขึ้นมากกว่าเมื่อก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเล่นโซเชี่ยลมีเดีย (Facebook Instragram Tiktok)  การซื้อขายของออนไลน์ (Shopee Lazada Amazon) และการใช้สื่อภาพยนต์อย่าง (Netflix Youtube) ซึ่งบริษัทที่ว่ามานี้ผลประกอบการพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในระหว่างช่วงกักตัว และราคาหุ้นเหล่านี้ยังเป็นตัวที่ช่วยพยุงตลาดหุ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาไว้ไม่ให้ลดลงมาอย่างรุนแรง

investors should purchase stocks like they purchase groceries, not like they purchase perfume. –Ben Grahamhttps://money.usnews.com/

ความคิดเห็นของผู้เขียนต่อ หุ้น DTAC

จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าธุรกิจโทรคมนาคมส่งผลกระทบต่ออนาคตของประเทศไทยอย่างมหาศาล ซึ่งต้องเติบโตควบคู่ไปกับการพัฒนาของเทคโนโลยีที่จะเข้ามาทำให้โลกของเราสะดวกสบายมากขึ้น และการที่ประเทศไทยยังไม่มีบริษัท Startup ที่เป็น Unicorn เลยแม้แต่ที่เดียว ส่งผลให้เป็นข้อเสียเปรียบอย่างมาก เพราะทุกวันนี้ข้อมูลมีค่ากว่าน้ำมันหรือทองคำ ผู้ที่มีข้อมูลในมือมากที่สุดย่อมหาผลประโยชน์จากตรงนั้นได้อย่างมหาศาล สื่อหลายๆที่ได้ให้ความเห็นว่าประเทศไทยได้ตกเป็นเมืองขึ้นของต่างประเทศผ่านเทคโนโลยีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เพราะไม่ว่าเราจะหันไปทางไหนก็มีแต่สินค้าและบริการที่มาจากต่างประเทศเต็มไปหมด คุณลองนึกภาพตามผมดูนะครับว่า เราตื่นเช้ามาหยิบโทรศัพท์มือถือ ไม่ว่าจะเป็น Iphone Samsumg หรือ Huawei ล้วนแล้วแต่เป็นของต่างชาติ เราจะออกไปทำงานด้วยรถยนต์ส่วนตัว ก็ไม่มีรถยนต์แบรนด์ของไทยเลย เรียกแท็กซี่ผ่าน Grab Taxi หรือ Uber(ออกจากไทยไปแล้ว) ก็เป็นบริษัทต่างชาติ สั่งข้าวมากินที่ออฟฟิต ก็ใช้ Grab Food, Line Man, Get เจ้าของเป็นเพื่อนบ้านเราหมดเลย กลับบ้านมาเหนื่อยๆอยากซื้อของออนไลน์ เข้าแอป Shopee, Lazada, Amazon ก็ไม่มีอะไรเป็นของไทย ยิ่งไปกว่านั้น เวลาส่วนใหญ่ของเราที่ใช้ไปบนโลกของโซเชี่ยลมีเดีย อย่าง Facebook, Instragram, Youtube, Twitter, และ Tiltok ล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทของต่างประเทศ

คุณลองนึกดูว่าข้อมูลการใช้ชีวิตประจำวันของเรานั้นได้ถูกเก็บไว้ในต่างประเทศทั้งนั้น และข้อมูลเหล่านี้แหละที่ส่งผลให้บริษัทเหล่านี้สามารถขายค่าโฆษณาให้กับผู้ประกอบการที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างแม่นยำ ต่างจากการซื้อโฆษณาสมัยก่อนบนทีวีหรือป้ายบิลบอร์ด คุณไม่ต้องเชื่อผมก็ได้ แต่คุณลองกลับไปสังเกตดูว่ามีอะไรรอบตัวคุณที่เป็นของประเทศไทยจริงๆบ้าง

ถ้าวันนี้เรายังไม่ปรับตัว โดยเฉพาะแนวความคิด หรือ Mind set ของคนระดับผู้บริหารของประเทศ ที่ถ้าต้องการจะนำพาประเทศไทยไปยังอนาคตที่สดใส ท่านต้องยอมเปลี่ยนแปลง และเปิดรับความคิดเห็นจากคนรุ่นใหม่ และให้โอกาสเพื่อที่จะได้ไม่ทำให้ประเทศไทยต้องล้าหลังและตกเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติ

ข้อคิดจากวิกฤตไวรัสโควิด 19

จะเห็นได้ว่าบริษัทที่ได้รับผลกระทบหนักล้วนแต่เป็นบริษัทในยุคก่อนที่ทุกคนเชื่อมั่นว่ายังไงมันก็ดีพื้นฐานมั่นคง เช่น PTT, AOT, CRC, MAJOR เพราะว่าการลดจำนวนลงของผู้คนในชีวิตประจำวัน ก่อให้เกิดการลดลงของ Demand การใช้น้ำมันมหาศาล บวกกับธุรกิจการบินที่หยุดชะงัก AOT ก็ได้รับผลกระทบหนักพอๆกันจากการหายไปของเที่ยวบิน ห้างสรรพสินค้าเองก็อาจจะเปลี่ยนไปหลังจากนี้เพราะ คนอาจจะต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะกลับมาเชื่อมั่นเหมือนปกติ ทำให้คนมาเดินห้างน้อยลง ซึ่งคนส่วนใหญ่เลือกที่จะซื้อของออนไลน์อยู่ที่บ้านมากกว่า ธุรกิจภาพยนต์ไม่ต้องพูดถึง ต่อให้กลับมาเปิดให้บริการแต่จะอยู่ได้ยังไงถ้าต้องรับจำนวนผู้เข้าชมน้อยลงถึงครึ่งนึง ทุกรอบที่ฉายอาจจะขาดทุน ถ้าบริษัทพวกนี้ไม่ปรับตัว ลูกหลานอาจจะไม่ได้เห็นบริษัทพวกนี้อีกเลยในอนาคต เหมือนที่กำลังจะเกิดขึ้นกับสายการบินประจำชาติของไทย THAI ที่กำลังอยู่ระหว่างเข้าแผนฟื้นฟูกิจการจากภาวะล้มละลายและขาดทุนสะสม ก่อให้เกิดการเลิกจ้างงานจำนวนมาก ซึ่ง DTAC เองก็ไม่ต่างกัน ถ้าไม่ปรับตัว ต่อให้กำไรหรือผลประกอบการดีแค่ไหน ถ้าถึงเวลา ราคาหุ้นอาจจะลงไปไม่มีค่าได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว . .

ผู้เขียน
อภิภู อัครมโนธรรม ที่ปรึกษาการเงิน (IC, Derivative, IP, FChFP license) ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Wealth Innovation Consulting จำกัด เจ้าของเพจลงทุน Investonia