เลือกหุ้นด้วยพื้นฐานธุรกิจของบริษัท

หากคุณซื้อหุ้นของธุรกิจโดยเชื่อว่าคุณเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของบริษัท คุณจะทำตัวแตกต่างจากผู้คนในตลาดหุ้น นักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นเชื่อว่าตลาดหุ้นคือคาสิโนขนาดใหญ่และหุ้นก็คือตัวเพื่อเข้า มาเล่นเกมการตัดสินใจซื้อขายของนักลงทุนมากมายเป็นการมองเพียงราคาเท่านั้นและไม่มีสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับพื้นฐานของบริษัท พวกเขาพยายามคาดเดาว่าราคาหุ้นจะเป็นอย่างไรในระยะสั้นและพยายามทำกำไรจากการแกว่งตัวของราคา และคิดว่าพวกเขาเป็นนักลงทุน แต่ใน ความเป็นจริงแล้วเขาคือผู้ซื้อขาย พยายามคาดเดาว่าตลาดจะเป็นเช่นไรในระยะสั้นและซื้อหรือขายสิ่งที่ถือไว้ โดยพึ่งพิงการคาดเดาเหล่านั้น การคาดเดาตลาดเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า การคาดเดา ตลาดหุ้นนั้นไม่ก่อให้เกิดผล อย่างไรก็ตามผู้ซื้อขายใช้เวลาและพลังงานมหาศาลพยายามจะทำเช่นนั้น

การคาดหวังของตลาดหุ้นในปีถัดไป

ในช่วงปลายปีคุณจะได้เห็นผู้รู้ของตลาดและผู้จัดการเฮดจ์ฟันต์ พยายามคาดเดาตลาดในปีหน้า คุณสามารถกลับไปดูการคาดเดาพวกเขาในปีที่ผ่านๆ มาและดูว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นจริง และคุณจะพบว่า90 เปอร์เซ็นต์ของการคาดเดาเหล่านั้นผิดพลาด อีก 10 เปอร์เซ็นต์ที่เหลืออาจถูกต้องแต่นั่นก็เป็นเพราะโชคเพียงอย่างเดียวไม่ใช่สิ่งอื่น

เมื่อใดก็ตามที่ผู้รู้เหล่านั้นมั่นใจและคาดหวังกับตลาด สิ่งเกิดขึ้นก็คือตลาดพังครืน เมื่อใดก็ตามที่พวกเขากังวลว่าโลกจะอวสานสิ่งที่เกิดขึ้นก็จะตรงกันข้าม ยกตัวอย่างเช่น ลองกลับไปดูการการคาดเดาตลาดโดยผู้รู้ในวอลล์สตรีทหลังจากวิกฤตทางการเงินระหว่างช่วงสิ้นปี 2008 คุณจะพบว่าพวกเขาคาดเดาว่า 2009 จะเป็นปีที่เลวร้าย ๆ ฟ้าจะถล่มทลายและทุกคนควรออกจากตลาด แล้วเกิดอะไรขึ้น ในความเป็นจริงตลาดหุ้นเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม 2009

คุณไม่อาจลงทุนโดยพึ่งพิงการคาดเดาเหล่านั้น ผู้มีส่วนร่วมในตลาดจำนวนนับล้านลงมือกระทำตามแนวคิดของพวกเขาต่อตลาดและไม่มีใครสามารถคาดเดาสิ่งที่ผู้คนจำนวนนับล้านคิดได้

คุณต้องการเดิมพันเงินที่คุณหามาอย่างยากลำบาก ไปกับการพยายามคาดเดาสิ่งที่ผู้อื่นจะทำหรือไม่ ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงอุปนิสัยซึ่งไร้ความรับผิดชอบ คุณจำเป็นต้องเข้าใจบริษัทอย่างทะลุปรุโปร่งก่อนที่จะลงทุนกับมัน หากคุณต้องการจะเป็นนักลงทุนที่พัฒนามากขึ้นแล้วคุณจำเป็นต้องขจัดความคิดอ่านของผู้ซื้อขายและคิดให้เหมือนกับเจ้าของธุรกิจ การคิดเหมือนเจ้าของธุรกิจก่อนที่คุณจะซื้อธุรกิจใดจะทำให้คุณกระตือรือร้นที่จะได้รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับมัน คุณจะค้นหารายได้ในอดีต อัตรากำไร ระดับของหนี้ พลังในการแข่งขัน ความยั่งยืนของรูปแบบธุรกิจ ส่วนแบ่งตลาด ประสิทธิภาพของผู้บริหาร ความสามารถของบริษัท ฯลฯ

ก่อนที่จะเริ่มลงทุนจงศึกษาว่าธุรกิจดำเนินงานอย่างไร

ก่อนที่จะลงทุนจงค้นหาว่าธุรกิจดำเนินงานเช่นไรในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำที่ผ่านมา ทำความเข้าใจกับประวัติของธุรกิจและพิจารณาว่ามันดำเนินการอย่างไรมาตลอด 10 ปี อะไรคือการเติบโตของกำไร อะไรคือการเติบโตของเจ้าของ การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทให้ได้มากพอก่อนที่จะตัดสินใจนั้น เรียกว่าการลงทุนขั้นพื้นฐานเมื่อคุณรู้ข้อเท็จจริงทั้งหมดเกี่ยวกับบริษัทแล้ว คุณก็สามารถตั้งสมมติฐานอย่างมีเหตุผลเกี่ยวกับการทำเงินของบริษัทในอนาคต คุณยังสามารถคำนวณมูลค่าของบริษัทซึ่งเรียกว่ามูลค่าที่แท้จริงได้ หากคุณซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงซึ่งคำนวณได้ของบริษัทและถือหุ้นนั้นไว้เป็นระยะยาว คุณจะสามารถทำได้ดีในเรื่องของหุ้น

หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจคุณจะไม่ขายธุรกิจของคุณทันทีที่คุณสามารถได้เงินจากธุรกิจมากขึ้น 10 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ แต่คุณจะอยากบริหารธุรกิจต่อไปและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของมันไปในระยะยาว เพื่อที่คุณจะได้รับกำไรสูงสุด คุณจำเป็นต้องมีความคิดแบบเดียวกันนี้เมื่อคุณลงทุน แม้ว่าคุณจะซื้อหุ้นของบริษัทเพียง 100 หุ้นก็ตาม

วิธีการลงทุนแบบ วอร์เรน บัฟเฟตต์

วิธีการลงทุนแบบเจ้าของธุรกิจทำเงินให้กับหุ้นส่วนจำกัดได้มากมาย วอร์เรน บัฟเฟตต์ ไม่ขายหุ้นของเขาเลยในระหว่าง 44 ปีนั้น เพราะในฐานะเจ้าของธุรกิจแล้ว เขารู้ถึงศักยภาพของบริษัท และรู้ว่าผลตอบแทนประเภทใดที่เขาจะสามารถได้มาในอนาคต

ระหว่างเส้นทางการลงทุนของบัฟเฟตต์ มีช่วงเวลาที่ตกต่ำหลายครั้ง รวมถึงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ ฟองสบู่เทคโนโลยีในปี 2001 และอีกมายมาย อย่างไรก็ตามเขายืนหยัดและสร้างอัตราผลตอบแทนรายปีสะสมให้กับผู้ถือหุ้นของเบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์ได้ที่ 21 เปอร์เซ็นต์ เขาทำเช่นนั้นด้วยการปฏิบัติตัวเป็นเจ้าของธุรกิจและซื้อหุ้นของบริษัทที่ยอดเยี่ยม หุ้นของเบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์ สูญเสียมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ถึงหกครั้งในช่วงเวลาหลายปีนับตั้งแต่บัฟเฟตต์ครอบครองกิจการ สิ่งนี้ไม่ได้กวนใจบัฟเฟตต์ เขาหาทางคิดอย่างเจ้าของธุรกิจต่อไป เขารู้ตลอดเวลาว่าบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์จะทำเงินจำนวนมหาศาลได้ในอนาคต

ระหว่างช่วงเศรษฐกิจตกต่ำในปี 2008 รายได้ของบริษัทเบิร์กเชียร์ลดลงไปมากกว่า 30 ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2008 หุ้นของเบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์ลดจากประมาณ 146,000 เหรียญต่อหุ้นของหุ้นกลุ่มเอ ลงไปอยู่ที่ 70,050 เหรียญต่อหุ้นในเดือนมีนาคม 2009 นับว่ามากที่ลดลงถึง 52 เปอร์เซ็นต์ ทรัพย์สินสุทธิของบัฟเฟตต์ลดลงไป 52 เปอร์เซ็นต์ ราคาหุ้นอาจรบกวนใจเขาแต่เขาไม่ตื่นตระหนก และขายหุ้นของเบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์ไปที่จุดต่ำสุดในฐานะเจ้าของธุรกิจ เขารู้ว่าบริษัทจะเริ่มฟื้นตัวและบริษัทของเขาจะทำรายได้และกำไรเพิ่มขึ้น และนั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้น รายได้ของบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์ เพิ่มขึ้นประมาณ 30เปอร์เซ็นต์ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ จากจุดต่ำสุดภายในเวลาสองปี

บัฟเฟตต์ บอกไว้ครั้งหนึ่งว่าเขาปฏิบัติตนแบบเจ้าของธุรกิจอย่างไร

“ผมไม่เคยพยายามทำเงินจากตลาดหุ้น ผมซื้อมันด้วยสมมติฐานที่ว่า พวกมันสามารถปิดตลาดในวันต่อไปและไม่เปิดขึ้นมาอีกห้าปี”

บัฟเฟตต์เพิกเฉยต่อตลาดระยะสั้นโดยสิ้นเชิง เมื่อไหร่ก็ตามที่หุ้นตกลง ทันทีหลังจากที่พวกเขาซื้อมัน เขาไม่กังวลหรือตื่นตระหนกนั่นเป็นเพียงการขาดทุนของราคา บัฟเฟตต์เลือกที่ตะเฝ้าดูความสำเร็จในการลงทุนของเขาด้วยวิธีเดียวกับที่ซีอีโอเฝ้าดูความคืบหน้าของบริษัท เขามองที่การเติบโตของรายได้ การเติบโตของกำไร อัตราผลตอยแทนผู้ถือหุ้น อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน ระดับของหนี้ค่าใช้จ่ายในการลงทุน ฯลฯ เขาพิจารณาว่ามูลค่าสุทธิของธุรกิจเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ในปีนั้น พวกซีอีโอไม่วัดความสำเร็จของพวกเขาจากการที่หุ้นขึ้นราคา

หากพื้นฐานทางธุรกิจพัฒนาไป ราคาหุ้นควรติดตามไปด้วยในระยะยาว การแกว่งตัวของราคาในระยะสั้นขึ้นอยู่กับข่าวในตลาดมากกว่าการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานของบริษัท

Thanks for Reading

Enjoyed this post? Share it with your networks.

Leave a Feedback!