แนวคิดการเลือกหุ้นเพื่อการลงทุนระยะยาว

หากจะแบ่งประเภทของการลงทุน ก็จะสามารถแบ่งอย่างกว้างๆออกมาได้เป็น 2 ประเภท นั่นคือ การลงทุนระยะสั้น การลงทุนระยะยาว ซึ่งในแต่ละประเภทนั้นก็จะมีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างกันออกไป

ข้อดีของการลงทุนระยะยาว

ในการลงทุนซื้อหุ้นในระยะยาวนั้นไม่เหมือนกับการออมเงินแบบฝากประจำกับธนาคาร ที่คุณจะแค่เอาเงินไปลงทุนไว้แล้วก็ลืมมันไปได้เลยจนกว่าจะครบระยะสัญญา แต่คุณจะต้องคำนึงถึงการเติบโตขององค์กร รายได้และผลกำไร และยังต้องทำการติดตามความเปลี่ยนแปลงต่อไปในทุกไตรมาสอีกด้วย

นักลงทุนจำนวนมากมักจะมองเห็นผลลัพธ์ระยะสั้นที่ฉาบฉวย หากราคาหุ้นขึ้นในระยะเวลาสั้นๆหลังจากที่ซื้อมา พวกเขาจะมองว่าตัวเองนั้นคิดถูกและเกิดความภาคภูมิใจ แต่หากราคาหุ้นนั้นตกลงมา พวกเขาจะมองว่าตัวเองนั้นเป็นผู้แพ้และเกิดความรู้สึกที่ไม่ดี ซึ่งการลงทุนในระยะยาวนั้นคุณต้องเพิกเฉยต่อการผันผวนของราคาหุ้นที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำในทุกวัน หากองค์กรที่คุณถือหุ้นอยู่นั้นเติบโตขึ้นในอัตราที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ คุณก็ควรที่จะถือหุ้นนั้นต่อไปเพื่อกำไรในระยะยาว

การลงทุนระยะยาว คุณควรคำถึงถึงพื้นฐานขององค์กรด้วย เช่นกัน

ในการลงทุนระยะยาวนั้น คุณควรคำถึงถึงพื้นฐานขององค์กรด้วย โดยทั่วไปแล้วการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นระยะสั้นในแต่ละวันนั้นมักไม่เกี่ยวข้องกับพื้นฐานขององค์กร แต่ในระยะยาวแล้วการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานภายในองค์กรถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และมันจะสะท้อนถึงราคาหุ้นด้วย คุณจึงควรมีการติดตามการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรอย่างสม่ำเสมอเช่นกัน

วอห์เรน บัฟเฟตต์ ตัดสินใจซื้อหุ้นของ วอชิงตันโพสต์ ด้วยแนวคิดดังต่อไปนี้

“มันออกจะฟังดูแตกต่าง ในการไปที่กาลามาซูและบอกกับเจ้าของสถานีโทรทัศน์ที่นั่นว่า เพราะวันนั้นดาวโจนส์หล่นลงมา 20 จุด เขาจึงควรขายสถานีโทรทัศน์ของเขาให้กับคุณในราคาที่น้อยลงเป็นอย่างมาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อคุณบริหารธุรกิจด้วยตัวเอง ในโลกของหุ้นนั้นทุกคนจะคิดถึงแต่อัตราราคาที่เกี่ยวข้อง เมื่อเราซื้อวอชิงตันโพสต์มา 8-9% ในหนึ่งเดือนนั้นไม่มีสักคนที่จะขายให้กับเรา เพราะพวกเขาต่างคิดว่ากำลังจะขายของราคา 400 ล้านเหรียญให้กับเราในราคา 80 ล้านเหรียญ ไม่ว่าพวกเขาจะขายมันเพราะหุ้นคมนาคมกำลังตก หรือเพราะคนอื่นกำลังเทขาย หรือด้วยเหตุผลอื่นใดก็ตาม พวกเขากำลังใช้เหตุผลที่ไร้สาระในการตัดสินใจ”

วอห์เรน บัฟเฟตต์ เริ่มซื้อวอชิงตันโพสต์ในเดือนกุมภาพันธ์ 1973 ด้วยราคาหุ้นละ 27 เหรียญ ซึ่งราคาหุ้นตกลงไปอย่างต่อเนื่องจนถึงราคาหุ้นละ 20.75 เหรียญ แต่เขาก็ยังคงซื้อมันต่อไป จนเดือนตุลาคม 1973 เบิร์กเชียร์กลายเป็นผู้ลงทุนภายนอกรายใหญ่ที่สุดของวอร์ชิงตันโพสต์ บัฟเฟตต์ลงทุนไปประมาณ 10 ล้านเหรียญ และเขายังคงถือหุ้นนั้นไว้ จนในปี 2009 การลงทุนครั้งนั้นสร้างมูลค่าให้เขา 357 ล้านเหรียญ หากเขารู้สึกว่าตัวเองกำลังจะสูญเสียเงินไป และตัดสินใจขายมันตั้งแต่หล่นไปอยู่ที่ 23% เขาก็อาจจะขาดทุนจากการลงทุนครั้งนั้น แต่เขาเลือกที่จะถือมันต่อไปในระยะยาวและนั่นกลายเป็นผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม แนวคิดเช่นนั้นเองที่ทำให้บัฟเฟตต์แตกต่างไปจากนักลงทุนคนอื่นๆในตลาดหุ้น

ถ้ามองจากอดีตจะเห็นได้ว่าการลงทุนระยะยาวนั้นเป็นกลยุทธ์ที่ทำกำไรได้มาก ยิ่งเปรียบเทียบกันกับการลงทุนระยะสั้นจะยิ่งเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ทุกวันนี้มีบทความมากมายที่พูดถึงการลงทุนระยะยาวว่า การซื้อและถือเอาไว้เฉยๆนั้นได้ล้าสมัยเกินไปแล้วสำหรับตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วดังเช่นทุกวันนี้ ผู้เชี่ยวชาญซึ่งมีชื่อเสียงในตลาดกล่าวว่า วิธีการลงทุนในแบบของบัฟเฟตต์นั้นเป็นการลงทุนแบบเก่า และไม่เหมาะสมกับตลาดในทุกวันนี้แล้ว

รูปแบบการซื้อขายหุ้นในปัจจุบัน

ทุกวันนี้ในตลาดนั้นเต็มไปด้วยการซื้อขายแบบเก่า การซื้อขายแบบรายวัน และการลงทุนแบบกองทุนเปิดซึ่งซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์  รวมถึงองค์กรขนาดใหญ่ก็ใช้ซอฟต์แวร์ช่วยในการตัดสินใจซื้อขายแทนการใช้อารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ ซึ่งองค์กรเหล่านั้นมีคำขวัญที่ว่า “การทำเงินในตลาดหุ้นต้องอาศัยการซื้อขายบ่อยครั้ง มิเช่นนั้นคุณก็จะตายจากไป” แต่นั่นก็ยังไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดทุกวันนี้ การลงทุนระยะยาวยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนระยะสั้น

การลงทุนระยะยาวนั้นอาจสร้างกำไรเพิ่มเติมได้ดังนี้

กำไรจากภาษีการขายหลักทรัพย์

หากคุณขายหุ้นก่อนที่จะครบระยะเวลา 1 ปี กำไรจากการขายหลักทรัพย์นั้นจะถูกเรียกเก็บภาษีระดับบุคคลธรรมดา ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 30% หากคุณขายหุ้นหลังจากครบระยะเวลา 1 ปี กำไรจากการขายหลักทรัพย์เหล่านั้นจะถูกเรียกเก็บภาษี 15% แต่ถ้าหากคุณมีกำไรแต่คุณไม่ได้ขายหุ้น คุณก็จะไม่ต้องจ่ายอะไรเลยจนกว่าคุณจะขายหุ้นนั้นออกไป

กำไรจากค่าคอมมิชชั่นของตัวแทนซื้อขาย

ค่าคอมมิชชั่นนั้นคือหนึ่งในค่าใช้จ่ายที่ค่อยๆลดทอนผลกำไรระยะยาวของคุณไปทีละนิด หากคุณใช้บริการตัวแทนซื้อขายเต็มรูปแบบ คุณก็จะต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่นเป็นจำนวนมาก แต่ถ้าหากคุณใช้บริการตัวแทนซื้อขายแบบกึ่งหนึ่งคุณจะเสียค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายแต่ละครั้งน้อยลง หากคุณต้องการที่จะลงทุนในระยะยาว วิธีนี้จะช่วยให้คุณมีกำไรที่มากขึ้น

กำไรจากค่านักบัญชี

เมื่อคุณต้องทำการยื่นภาษี คุณก็จะเสียค่าใช้จ่ายให้กับนักบัญชีในการเทียบยอดการซื้อขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากเป็นการซื้อขายแบบรายวัน นักบัญชีก็จะต้องใช้เวลาที่มากขึ้นในการคำนวณกำไรและขาดทุน ซึ่งโดยส่วนมากนักบัญชีจะเรียกเก็บค่าบริการเป็นรายชั่วโมง หากคุณมีรายการซื้อขายมาก คุณก็ต้องจ่ายเงินให้กับนักทำบัญชีมากขึ้น แต่ถ้าคุณเป็นนักลงทุนระยะยาว คุณก็จะได้รับกำไรเพิ่มขึ้นจากส่วนต่างของนักบัญชีเหล่านั้นนั่นเอง

กำไรจากการลดความเสี่ยงขาดทุน

หากคุณเลือกใช้วิธีการลงทุนระยะสั้น เมื่อคุณได้รับกำไรจากการซื้อขายครั้งแรกมาแล้ว คุณก็จะต้องแบ่งกำไรนั้นเพื่อไปลงทุนต่อในครั้งถัดไป และถ้าหากคุณเลือกหุ้นผิดตัว คุณก็อาจจะต้องสูญเสียกำไรที่คุณได้มาก่อนหน้านี้ไป รวมถึงคุณก็ยังต้องแบกรับภาษีจากการซื้อขายหลักทรัพย์ของกำไรในรอบแรกไปพร้อมๆกันด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณทำการซื้อขายหลายรายการ โอกาสที่จะสูญเสียผลกำไรก็จะยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งการลงทุนในระยะยาวนั้นมีความเสี่ยงที่ต่ำกว่านี้มาก

การลงทุนระยะยาวที่แท้จริงนั้นคือการซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจ และถือครองหุ้นนั้นเอาไว้ตราบเท่าที่องค์กรนั้นยังพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง ดังที่บัฟเฟตต์ได้เคยกล่าวเอาไว้ว่า

หุ้นนั้นเป็นเรื่องง่าย สิ่งที่คุณต้องทำนั้นมีเพียงการซื้อหุ้นของธุรกิจที่ยอดเยี่ยมในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจนั้น พร้อมทั้งมีผู้จัดการที่เที่ยงธรรมและมีศักยภาพสูงสุด แล้วคุณก็แค่ถือครองหุ้นนั้นเอาไว้ตลอดไป

Thanks for Reading

Enjoyed this post? Share it with your networks.

Leave a Feedback!