ก่อนที่ วอเรน บัฟเฟท จะร่ำรวยและมีชื่อเสียงเหมือนในปัจจุบันนี้ เค้าก็เคยเป็นเด็กหนุ่มที่ทดลองทำธุรกิจมากมาย ซึ่งส่วนมากก็จะประสบความสำเร็จ เริ่มจากการเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ตอนที่เขาอายุยังไม่ถึง 13 ขวบ แล้วก็ไปไล่เก็บตั๋วพนันม้า(จากนักพนันที่ไม่รู้กติกาว่าตั๋วใบนั้นแม้จะพลาดรางวัลแข่งม้าแต่ยังมีรางวัลอื่นๆสำรองให้ลุ่นอีก)มาขายต่อ แล้วก็ค่อยๆเปลี่ยน วิธีการทำธุรกิจและการลงทุนมาเรื่อยๆ จนในท้ายที่สุดที่เค้าทราบว่าตนเองถนัดในเรื่องการวิเคราะห์การลงทุนมากที่สุด แล้วจึงโฟกัสกับเรื่องการลงทุนในหุ้นจนทำให้เขารวยอยู่ในอันดับต้นๆของโลกอยู่ในทุกวันนี้

เมื่อปีที่แล้ว มีนักข่าวได้ไปถามวอเรนท์ บัฟเฟต ว่า ในธุรกิจทุกอย่างที่เค้าเคยทำและเคยเห็นมานั้น คิดว่าการลงทุนอะไร เป็นการลงทุนที่ดีที่สุด เขาจึงเริ่มเล่าให้นักข่าวฟังว่า การลงทุนที่ดีที่สุดของเขาถ้าไม่นับในเรื่องการได้ตัดสินใจแต่งงานกับภรรยาของเขา ก็ต้องย้อนกลับไปเมื่อเขาอายุ 17 ปี ในตอนนั้น เขาร่วมหุ้นกับเพื่อน ลงทุนทำธุรกิจตู้เล่นเกมส์พินบอล โดยเขามีแนวคิดว่า การทำธุรกิจตู้เกมส์นี่หละที่จะทำให้เด็กที่ต้องใช้เวลาส่วนมากไปกับการเรียนในโรงเรียนอย่างเขาและมีทุนน้อย สามารถทำกำไรจากธุรกิจได้ในระยะเวลาไม่นาน

buffet on piball machine

เขาเริ่มจากการไปซื้อตู้เกมส์พินบอลมือสองมาในราคา 25 เหรียญ และนำไปซ่อมให้ดูใหม่ด้วยตนเอง จากนั้นจึงไปติดต่อกับเจ้าของร้านตัดผมใกล้บ้านของเขาว่า เขาเป็นตัวแทนของบริษัท วิลสัน เครื่องเล่นเกมส์ และในวันนี้คุณวิลสันให้มาเสนอแก่ร้านของคุณว่าทางบริษัทของเราจะขอนำตู้เกมส์หยอดเหรียญมาวางที่ร้านของคุณ เพื่อเป็นตัวเลือกให้ลูกค้าของคุณได้เล่นในระหว่างรอตัดผม โดยกำไรจากตู้เกมส์นี้เราจะแบ่งคนละครึ่ง ซึ่งในเรื่องนี้คุณจะไม่มีความเสี่ยงอะไรเลย แถมร้านของคุณก็จะยิ่งดึงดูดลูกค้าได้เพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งเจ้าของร้านก็ตกลง เค้าจึงได้นำตู้เกมส์ดังกล่าวมาวาง

เพียงสัปดาห์เดียวตู้เกมส์พินบอลของเขาทำกำไรได้ถึง 20 เหรียญ เฉลี่ยเดือนละประมาณ 80 เหรียญ หมายความว่าเพียงแค่เดือนแรก เขาสามารถนำกำไรดังกล่าว ไปซื้อตู้เกมส์มาวางตามร้านตัดผมเพิ่มอีก 1 ตู้ ทำให้เขามีกำไรมากขึ้นเป็น 2 เท่า จากนั้นเดือนต่อไปเขาก็นำกำไรขอเขาไปซื้อตู้เกมส์มาเพิ่มอีก จำนวน 2 ตู้ และทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ธุรกิจของเขาจึงขยายขึ้นอย่างเท่าทวีคูณ แต่เนื่องจากในปีต่อมาครอบครัวของเขาต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองอื่น เขาจึงต้องขายธุรกิจตู้เกมส์พินบอลของเขาไป ซึ่งการขายดังกล่าวนั้นทำกำไรมหาศาล ถ้าเทียบเป็นเงินปัจจุบันจะมีค่ากว่า 12000 เหรียญ เลยทีเดียว

เขายังบอกว่าการลงทุนของเขาครั้งนี้ให้ข้อคิดสำคัญกับเขาหลายอย่าง เขาได้รู้ว่า เวลาที่ต้องใช้ในการดำเนินธุรกิจนั้นก็เป็นต้นทุนที่สำคัญที่เราต้องนำมาคำนวณเช่นกัน หากคุณต้องลงเงินด้วย แล้วต้องใช้เวลาอีก 10 ชั่วโมง ต่อวัน เพื่อดำเนินธุรกิจนั้น มันอาจจะยังไม่ใช่ธุรกิจที่ใช่สำหรับคุณก็ได้

เขายังได้รู้ด้วยว่า ด้วยแผนการที่ดี เงินของเราสามารถงอกเงยขึ้นได้เป็นเท่าตัว หากวันนั้นเขามองกำไร 20 เหรียญ ว่าเป็นเงินจำนวนไม่มาก แล้วนำเงินนั้นไปใช้ในชีวิตประจำวันเลย ไม่ได้นำไปลงทุนต่อ ก็คงไม่สามารถขายกิจการได้ในราคาดังกล่าว เหมือนกับการลงทุนในปัจจุบัน ที่คนส่วนมากไม่ได้คำนึงถึงเลยว่า เงินที่เพิ่มขึ้นมา 10 เปอร์เซ็น(ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยสำหรับการเติบโตของหุ้นบริษัทใหญ่) จากการลงทุนในหุ้นนั้น สามารถทวีคูนเงินต้นของเราเป็นสองเท่าได้ในเวลา 7 ปี และหากคุณเริ่มลงทุนด้วยเงิน 100,000 เหรียญ ในวัย 25 ปีนั้น ตามค่าเฉลี่ยเมื่อคุณอายุ 60 ปี คุณจะมีเงินถึง 1,600,000 เหรียญ และเมื่อคุณอายุ 67 ปี คุณก็จะเป็นหนึ่งในเศรษฐีที่มีหุ้นมูลค่า 3,200,000 อยู่ในมือ

และจากเรื่องนี้ก็สอนเราได้ได้รู้ว่า ไม่มีอะไรเป็นข้อจำกัดสำหรับเราในการที่จะเริ่มลงทุนทำอะไรเพื่อหารายได้เพิ่มเติม ทั้งคำว่าไม่มีเวลา ไม่มีเงิน หรือว่ายังเด็กเกินไป สำหรับวงการธุรกิจนั้นเมื่อเข้าไปแล้ว ก็จะขึ้นอยู่กับวิธีคิด ไอเดียในการแก้ปัญหาของแต่ละคน ซึ่งใครเจ๋งกว่าก็จะสามารถทำกำไรได้มากกว่า

การลงทุนแบบอื่นๆ

Reference

สำนักข่าว CNBC : United state of america