ทุกท่านเคยสงสัยเหมือนผมบ้างหรือเปล่าว่า หุ้น KTB กับ หุ้น KTC เป็นอะไรกัน ทำไมต้องแยกออกจากกันด้วย เพราะอะไร แล้วใครมีมูลค่าหรือรายได้สูงกว่ากัน ถ้าทุกท่านอยากรู้คำตอบเรามาเริ่มทำความรู้จักกับหุ้น2ตัวนี้กันอย่างละเอียดกันครับ
![วิเคราะห์หุ้น ktb](https://investingchoices.net/wp-content/uploads/2020/06/ktc-ktb-1.jpg)
1.KTB คือต้นตระกูลของ KTC อย่างงั้นหรอ?
ต้องย้อนกับไปตั้งแต่ปี 2509 หรือกว่า 54 ปีที่แล้ว ธนาคารกรุงไทย เริ่มเปิดดำเนินกิจการก่อตั้ง ธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาแรก โดยรวม 2 ธนาคาร ที่รัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในขณะนั้น ได้แก่ ธนาคารเกษตร จำกัด และธนาคารมณฑล จำกัด ต่อมาธนาคารกรุงไทยได้ เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจแห่งแรก ตั้งแต่ วันที่ 2 สิงหาคม 2532 โดยใช้ชื่อว่า “ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) Krung Thai Bank Public Company Limited” หรือ หุ้น KTB
![หุ้น KTB ปันผล](https://investingchoices.net/wp-content/uploads/2020/06/ktb2.jpg)
เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดดทำให้การทำธุรกรรมทางการเงินของผู้ใช้บริการเริ่มเปลี่ยนไป คนส่วนใหญ่เริ่มให้ความสนใจในการใช้บัตรเครดิตมากขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งคนทั่วไปอาจจะมีบัตรเครดิตมากกว่า1ใบได้เป็นเรื่องปกติ
การเติบโตของธุรกิจบัตรเครดิตทำให้ธนาคารกรุงไทยมองเห็นช่องว่างทางธุรกิจ เนื่องด้วยธนาคารได้รับความน่าเชื่อถืออย่างมากมาจากประชาชนคนไทยอยู่แล้ว ธนาคารกรุงไทยจึงตัดสินใจระดมทุนก่อตั้งบริษัทที่ดูแลการให้บริการของบัตรเครดิตโดยเฉพาะ นั่นก็คือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ “KTC” ที่ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต ตลอดจนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจบัตรเครดิต ธุรกิจสินเชื่อบุคคล (Personal Loan) ธุรกิจบริการรับชำระค่าสาธารณูปโภค เป็นต้น โดย KTC ได้เข้าจดทะเบียนเป็นเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 28 ตุลาคม 2545 ด้วยทุนจดทะเบียนถึง 1,000 ล้านบาท โดยในปี 2561 บริษัทมีจำนวนบัญชีรวมประมาณ 3.3ล้านบัญชี ซึ่งกว่า 72% เป็นบัตรเครดิต KTC และที่เหลือเป็น KTC CASH ซึ่ง ณ ปี 2563 ธนาคารกรุงไทย เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่ง ได้ถือหุ้นใน KTC เป็นจำนวน 49.29% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่อยู่ในตลาด
“How many millionaires do you know who have become wealthy by investing in savings accounts? I rest my case.”
– Robert G. Allen
2.แล้วสรุปเราควรลงทุนในหุ้นของใครดี?
ต้องบอกก่อนว่าทั้ง 2 บริษัทนั้น ถือแม้ว่าจะมีความใกล้ชิดผูกพันกันเหมือนญาติสนิทมิตรสหาย แต่ด้วยลักษณะของการประกอบธุรกิจแล้วนั้นค่อนข้างแต่ต่างกันอยู่มาก ธนาคารกรุงไทย หุ้น KTB ประกอบธุรกิจหลักคือธนาคาร ซึ่งได้กำไรจากส่วนต่างของดอกเบี้ยที่ได้รับและดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายมาหักลบกัน และยังมีรายได้จากทางอื่นๆเข้ามาด้วย โดยมีข้อได้เปรียบเหนือธนาคารคู่แข่งอื่นๆเพราะว่ามีโครงการต่างๆของภาครัฐบาลสนับสนุน
ยกตัวอย่างโครงการที่รัฐบาลออกนโยบาย ให้เงินช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาจากไวรัสโควิด-19 โดยการแจกเงินเยียวยาคนละ 5,000 บาท รัฐบาลไม่ได้ให้คนมารับเงินที่หน้ารัฐสภาหรือทำเนียบรัฐบาล แต่ทุกคนต้องตรวจสอบสิทธิของตัวเองผ่านเว็บของรัฐบาล และสิ่งสำคัญที่สุดคือ ทุกคนต้องเปิดบัญชีกับทางธนาคารกรุงไทยเท่านั้น
ถึงแม้ว่าบางคนอาจจะมองว่าธนาคารก็ไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไรจากโครงการนี้เลย แต่ถ้ามองดูระยะยาว การที่มีรัฐบาลคอยสนับสนุนอยู่ แสดงว่าธนาคารไม่จำเป็นที่จะต้องวิ่งออกไปหาลูกค้าให้มาเปิดบัญชี หรือเสียเงินเพื่อทำการโฆษณาเชิญชวนให้คนมาใช้บริการ แค่ค่าใช้จ่ายตรงนี้ธนาคารก็ประหยัดต้นทุนได้มากกว่าธนาคารคู่แข่งได้มากแล้ว
พูดมาถึงตรงนี้ทุกคนอาจจะคิดว่าธนาคารกรุงไทยคงได้เปรียบธนาคารอื่นๆเยอะแน่ๆ แต่ว่ายังมีอีกหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อผลประกอบการของธนาคาร โดยการที่ทำงานร่วมกับรัฐบาล อาจจะทำให้การดำเนินงานของบริษัทต้องเพิ่มขั้นตอนเพื่อตรวจสอบความปลอดภัยและความถูกต้องของธุรกรรมทางการเงินอย่างละเอียดกว่าธนาคารอื่นๆ เทคโนโลยีหรือแอพมือถือ Mobile Banking ที่ยังพัฒนาให้เข้ากับกลุ่มลูกค้าหลักอาจจะต้องใช้เวลาเยอะกว่าคู่แข่ง ยังไม่รวมกับผลกระทบโดยรวมจากทั้งประเทศ เช่น การประกาศลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงกับธุรกิจธนาคาร การเข้มงวดมากขึ้นของการปล่อยสินเชื่อต่างๆ
ในมุมกลับกัน KTC ไม่ต้องเจอปัญหาที่ว่านี้โดยตรงเลย
เพราะว่าการลดอัตราดอกเบี้ยของรัฐบาลไม่ได้กระทบดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากบัตรเครดิต บวกกับการที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญกับโลกการเงินในปัจจุบัน ผู้คนใช้เงินสดน้อยลง การซื้อสินค้าราคาสูงๆสามารถตัดสินใจซื้อได้ง่ายมากขึ้น เพราะว่ามีการผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิต บางที่สามารถผ่อน 0% ได้ ตามระยะเวลาการผ่อน แถมยังมีสิทธิพิเศษให้กับผู้ถือบัตร ไม่ว่าจะเป็นการเก็บแต้มคะแนนหลังมีการใช้จ่ายซื้อสินค้า การได้รับสิทธิพิเศษเหนือระดับเฉพาะกลุ่มของสมาชิกบัตรเครดิต และอื่นๆ ไม่ว่าจะมองทางไหนก็ดูดีกว่าการใช้เงินสดในหลายๆด้าน จึงทำให้หลายๆธนาคารหรือบริษัทบัตรเครดิตแข่งกันออกโปรโมชั่นเพื่อแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดกันอย่างดุเดือด
คนธรรมดาหนึ่งคนอาจจะมีบัตรเครดิตได้ถึง 3-4 ใบเป็นเรื่องปกติ
แต่นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบก็ได้ เพราะยิ่งปล่อยสินเชื่อบัตรเครดิตง่าย คนใช้จ่ายกันอย่างสนุกสนาน พอถึงเวลาเรียกเก็บเงินหลายคนก็เลือกที่จะชำระแบบผ่อนโดยยอมเสียดอกเบี้ยมากกว่าจะจ่ายเต็มจำนวน นี่แหละแหล่งรายได้ชั้นดีของธุรกิจบัตรเครดิต ด้วยดอกเบี้ยสุดโหด การผิดนัดชำระเพียงเล็กน้อยแต่ถ้าสะสมไปเรื่อยๆก็จะกลายเป็นหนี้ก้อนใหญ่ได้
“The man who never has money enough to pay his debts has too much of something else.”
-James Lendall Basford
ปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นปัญหาที่แก้ได้ยากมากที่สุด
เพราะเกิดจากพฤติกรรมของแต่ละบุคคล แต่มันได้ส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศชาติอย่างมหาศาล เพราะว่ามันแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของคนในประเทศนั้นๆ นักลงทุนชาวต่างชาติคงไม่กล้าที่จะมาลงทุนในประเทศที่ประชากรกว่าครั่งประเทศเป็นหนี้อยู่แล้ว เพราะว่าการจับจ่ายใช้สอยเป็นไปอย่างยากลำบาก และในที่สุดถ้าประชาชนไม่สามารถชำระหนี้ของตนได้ ก็จะก่อให้เกิดหนี้เสีย หรือ NPL (Non-Performing Loan) ถ้าประเทศไหนมีระดับ NPL ที่สูงก็จะเสี่ยงที่จะเจอปัญหาทางการเงินตามมา
ยกตัวอย่างในปี 2008 วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ที่ประเทศอเมริกา ส่งผลกระทบไปทั่วทั้งโลก เพราะปัจจุบันทั่วทั้งโลกถูกผูกกันผ่านสิ่งที่เรียกว่า อินเตอร์เน็ต วิกฤตครั้งนั้นเกิดจากการที่ผู้คนชาวอเมริกาผิดนัดชำระสินเชื่อบ้านกันเป็นจำนวนมากจนก่อให้เกิด Butterfly Effect ไปทั่วโลก
![ราคาหุ้น KTB ย้อน หลัง](https://investingchoices.net/wp-content/uploads/2020/06/ktb3.jpg)
วิเคราะห์ขั้นพื้นฐาน KTB และ KTC โดยย่อ
งบการเงิน
หุ้น KTC
![หุ้น KTC](https://investingchoices.net/wp-content/uploads/2020/06/1-1.png)
หุ้น KTฺB
![หุ้น KTB](https://investingchoices.net/wp-content/uploads/2020/06/2-2.png)
![KTB งบกำไรขาดทุน](https://investingchoices.net/wp-content/uploads/2020/06/3-1.png)
จากรายงานผลประกอบการณ์ของทั้งสองบริษัท KTB มีรายได้และสินทรัพย์สูงกว่า KTC อยู่หลายเท่าตัว แต่ว่าถ้าพูดถึงการลงทุนในหุ้นแล้วนั้น ส่วนที่สำคัญกว่ารายได้และสินทรัพย์คือ กำไรต่อหุ้น ซึ่งในส่วนนี้ KTC ทำได้ดีกว่าอยู่ที่ 0.64บาท และKTB อยู่ที่ 0.46 เนื่องจากคุมต้นทุนของบริษัทได้ดีกว่า
กราฟหุ้น
![หุ้น KBANK](https://investingchoices.net/wp-content/uploads/2020/06/4-1-931x1024.png)
การจะลงทุนในหุ้นตัวใดก็ตามไม่ว่าจะหุ้น KTB หรือ หุ้น KTC ต้องดู Volume ของหุ้นนั้นๆด้วยว่ามีการซื้อขายมากน้อยแค่ไหน ถ้าVolumeน้อยเราอาจจะต้องเจอความลำบากเวลาจะซื้อขายหุ้นนั้นๆ ต่อให้บริษัทนั้นจะดีหรือน่าลงทุนแค่ไหนก็ตาม ต้องขอบอกว่า KTC เป็นหุ้นที่มีความผันผวนของราคาค่อนข้างสูง การลงทุนต้องให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ หลายครั้งที่ราคาขึ้นลงอย่างรุนแรงถึงขั้นติด Floor และ Ceiling บ่อยๆ ถ้าเราเข้าซื้อผิดจังหวะอาจจะทำให้เราขาดทุนกำไรหรือพอร์ทติดลบได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่ถ้าเรามองภาพรวมของหุ้น ถือว่าแข็งแกร่งและสามารถถือยาวได้
![PTTGC หุ้น](https://investingchoices.net/wp-content/uploads/2020/06/ktc.jpg)
ความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน
จากการวิเคราะห์พื้นฐานธุรกิจของทั้ง 2 บริษัทนี้มา ต้องบอกว่าส่วนตัวคิดว่า KTC ยังถือว่าน่าสนใจที่จะลงทุนมากกว่า KTB เนื่องจากในอนาคตอันใกล้ เทคโนโลยีจะเข้ามาก่อให้เกิด Technology Disruption ภายในอุสาหกรรมการเงินอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ย้อนกลับไปยุคสมัยก่อน มนุษย์ใช้การแลกเปลี่ยนสินค้าเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ จนมีคนคิดค้นเหรียญเงินหรือในปัจจุบันคือเงินตราที่ใช้ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่างกัน
ซึ่งในอนาคตสิ่งที่จะมาทดแทนและเปลี่ยนการใช้เงินตรา คือระบบ Digital Currency ซึ่งในขณะนี้หลายๆประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน ได้เริ่มพัฒนา Digital Yuan ขึ้นมาเพื่อใช้แทนธนบัตรอย่างเต็มรูปแบบแล้ว หมายความว่าในอนาคต เราไม่จำเป็นต้องไปธนาคารเพื่อฝากเงินหรือทำธุรกรรมทางการเงิน การปล่อยกู้อาจจะง่ายเพียงแค่ปลายนิ้ว เพราะข้อมูลทางการเงินทุกอย่างของเราจะถูกเก็บไว้ในระบบ Blockchain ซึ่งมีความปลอดภัยสูงกว่าระบบการจัดเก็บข้อมูลในยุคปัจจุบันมาก เมื่อวันนั้นมาถึงธนาคารหลายแห่งอาจจะล้มหายตายจากพวกเราไป เหมือนธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ หรือร้านค้าโชว์ห่วยทั่วไป เพราะไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจมานานหลายปี ถ้าคุณไม่ปรับตัวให้ก้าวทันโลก คุณก็จะโดนทิ้งให้อยู่กับความสำเร็จในอดีตเพียงคนเดียว คนที่ปรับตัวได้เร็วก็มีโอกาสสูงที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในวงการธุรกิจของตัวเอง ซึ่งผมยังเชื่อว่าธุรกิจของ KTC อาจจะไม่ได้รับผลกระทบมากเท่า KTB เพราะการใช้บัตรเครดิตของคนส่วนใหญ่ยังคงให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ หรือพูดอีกนัยนึงคือ คนเราต้องการโชว์ให้คนรอบข้างรู้ว่าบัตรที่มีนั้นพิเศษกว่าคนอื่นๆ เพราะฉะนั้นการที่คนจะยังพกบัตรเครดิตติดตัวอาจจะยังอยู่คู่พวกเราไปอีกนาน ซึ่งบริษัท KTC ก็ยังสามารถสร้างรายได้ต่อไปได้ด้วย สรุปได้ว่าเป็นหุ้นที่น่าสนใจอีกตัวหนึ่ง
If you don’t follow the stock market, you are missing some amazing drama – Mark Cuban– http://www.marketwatch.com/
ผู้เขียน
อภิภู อัครมโนธรรม
ที่ปรึกษาการเงิน (IC, Derivative, IP, FChFP license)ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Wealth Innovation Consulting จำกัดเจ้าของเพจลงทุน Investonia