การวินิจฉัยกำไรต่อหุ้น ของบัฟเฟตต์

วิธีการคำนวณการเติบโตของกำไรของบริษัท ภายในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา หากบริษัทมีอายุการจัดตั้งและได้ดำเนินการเสนอขายหุ้นให้แก่สาธารณะชนครั้งแรก (IPO : ไอพีโอ) น้อยกว่าระยะเวลา 10 ปี ให้พิจารณาประวัติการเติบโตของกำไรต่อหุ้นตั้งแต่วันแรกของ IPO

การคำนวณอัตราการเติบโตด้านกำไรของบริษัท

การคำนวณอัตราการเติบโตด้านกำไรของบริษัทตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ว่าได้กำไรจำนวนเท่าไหร่ มีแนวโน้มการเติบโตอย่างสม่ำเสมอหรือไม่ มีวิธีการคำนวณดังนี้

กำไรต่อหุ้น = รายได้สุทธิของบริษัท ÷ จำนวนของหุ้นซึ่งอยู่ในมือของผู้ถือหุ้น (หุ้นที่เรียกชำระแล้ว)

ส่วนการคำนวณเพื่อให้ทราบอัตราการเติบโตของกำไรของหุ้น มีวิธีการดังนี้

อัตราผลตอบแทน           =          (มูลค่าในอนาคต / มูลค่าในปัจจุบัน)1/N1x 100

อัตราผลตอบแทน           =          เปอร์เซ็นต์อัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น

มูลค่าในอนาคต              =          มูลค่ากำไรต่อหุ้นในอนาคต

 มูลค่าในปัจจุบัน            =          มูลค่ากำไรต่อหุ้นในปัจจุบัน

N                                  =          จำนวนปี

กำไรสะสมที่เกิดขึ้นจากการลงทุนของบริษัท สะท้อนให้เห็นมูลค่าในราคาค่าหุ้นหรือไม่

            การคำนวณมูลค่ากำไรสะสมจากหุ้นที่แท้จริงของบริษัททุกครั้ง หากต้องการเห็นผลลัพธ์ด้านมูลค่าตอบแทนและกำไรสะสมที่แท้จริง ควรพิจารณาขึ้นกับตลาดที่มีระยะยาว 10 ปี หรือมากกว่า ซึ่งในการคำนวณเพื่อให้ทราบว่าฝ่ายบริหารของบริษัทคุณทำการลงทุนส่วนกำไรให้แก่ธุรกิจมากน้อยเพียงใด การลงทุนนั้นส่งผลตอบแทนที่สูงขึ้นมากแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับกำไรสะสมเหล่านั้น ซึ่งหากฝ่ายบริหารมีการจัดสรรและลงทุนให้เกิดกำไรสะสมได้ในปริมาณมาก มันจะช่วยสะท้อนกำไรให้แก่บริษัทอย่างแน่นอน อีกทั้งยังส่งผลให้กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นอีกด้วย

กำไรของเจ้าของในช่วงระยะเวลา 10 ปี คืออะไร แนวโน้มที่ผ่านมามีการเติบโตอย่างสม่ำเสมอหรือไม่

กำไรของเจ้าของ คือ กำไรหลังหักค่าใช้จ่ายในการลงทุน ซึ่งกำไรหักการหักลบก็คือยอดคงเหลือที่เจ้าของการลงทุนจะได้รับนั่นเอง สูตรการคำนวณกำไรของเจ้าของ มีวิธีการดังนี้

กำไรของเจ้าของ = รายได้สุทธิ + ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่ายค่าใช้จ่ายการลงทุน

รายได้สุทธิ (Net income)  = รายได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย หรือรายได้หลังจากหักค่าภาษีและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ แล้ว

ค่าเสื่อมราคา (Depreciation)  = สินทรัพย์มีตัวตน เช่น พวกที่ดิน อาคาร อุปกรณ์

ค่าตัดจำหน่าย (Amortization) = สินทรัพย์ไม่มีตัวตน เช่นสิทธิการเช่า ลิขสิทธิ์

ค่าใช้จ่ายการลงทุน (Total expenses) = ค่าใช้จ่ายในการลงทุนทุกประเภท

โดยเราสามารถคิดค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่ายในอัตราที่เพิ่มขึ้นได้ แต่ต้องไม่ใช่เงินสดที่เข้าไปในรายได้สุทธิและหักลบค่าใช้จ่ายในการลงทุน

เราจะมองหาอัตราการเพิ่มขึ้นของกำไรต่อหุ้นได้อย่างไร และสามารถเทียบกับอัตราการเติบโตของอัตราการเพิ่มขึ้นในระยะยาวได้หรือไม่

หลักการการลงทุนหลักทรัพย์ที่ดี นักลงทุนควรจัดสรรเปอร์เซ็นต์การลงทุนหุ้นในบริษัทที่มีขนาดใหญ่บ้าง ด้วยเหตุผลที่ว่าบริษัทขนาดใหญ่มีความมั่นคงและมีหลักทรัพย์สูง หากตลาดมีแนวโน้มที่จะต่ำ ลง หรือเรียกได้ว่าอยู่ใน ช่วงขาลง หุ้นเหล่านั้นจะช่วยส่งผลให้มีอัตราการร่วงของมูลค่าหุ้นในเปอร์เซ็นต์ที่น้อยกว่า เพราะหากเราเลือกลงทุนหุ้นในบริษัทขนาดกลางหรือบริษัทขนาดเล็กเท่านั้น ผลที่ตามมาก็อาจจะเสียหายได้อย่างคาดไม่ถึง

สิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มอัตรากำไรต่อหุ้นในบริษัท คือการเปรียบเทียบอัตราการเติบโตของหุ้นในระยะยาว ซึ่งเห็นได้ว่า หากวิเคราะห์จริง ๆ แล้ว บริษัทใหญ่ ณ ปัจจุบัน ก็เกิดจากการเป็นบริษัทขนาดเล็กมาก่อน ซึ่งในการบริหารและจัดการของบริษัทนั้นหากมีอัตราการเติบโตค่อนข้างสูง ก็จะส่งให้มีการยกระดับจากบริษัทขนาดเล็กเป็นบริษัทขนาดกลาง ซึ่งก็เป็นไปได้อีกว่าหลังการเติบโตของบริษัทขนาดกลาง อาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการขยายการเติบโตจำนวนหลายปี ถึงจะสามารถยกระดับไปเป็นบริษัทขนาดใหญ่ได้ ซึ่งได้เห็นได้ชัดว่า บริษัทขนาดใหญ่ จะเรียกได้ว่าการเติบโตชะลอตัวแต่ก็ไม่ถึงกับหยุดชะงัก เพราะเมื่อบริษัทขนาดใหญ่ มักจะมีการบริหารจัดการหลายส่วนมากยิ่งขึ้น ซึ่งการเติบโตที่จะเกิดขึ้นนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นการเติบโตในทิศทางการขยายภายใน ไม่ว่าจะเป็น การขยายบริษัทไปสู่พื้นที่หรือภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก การเปิดตัวผลิตภัณฑ์หรือสายการผลิตใหม่ การขยายตลาดไปสู่ตลาดใหม่ และขยายตัวด้วยการซื้อกิจการเพื่อเพิ่มบริษัทลูก

เหตุการณ์ใดบ้างที่ส่งผลให้บริษัทคุณมีกำไรเพิ่มขึ้น

ในการคำนวณและวิเคราะห์หุ้นของบริษัท คุณจำเป็นต้องทราบที่มาของกำไรและลำดับการซื้อ – ขาย ทั้งหมดของบริษัท เพราะหากบริษัทคุณมีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างผิดสังเกตุ นั่นถือเป็นสัญญาณที่ดีและไม่ดีในเวลาเดียวกัน โดยที่คุณจำเป็นจะต้องนำรายการกำไรที่เกิดขึ้นนั้นออกจากรายการคำนวณประวัติของกำไร เพื่อจะนำมาคาดคะเนถึงผลกำไรนั้นอย่างถี่ถ้วน เพราะการที่กำไรเพิ่มขึ้นอย่างผิดสังเกต อาจจะขึ้นจากการขายสินทรัพย์ หรือเกิดจากการที่มีคำสั่งซื้อจำนวนมากจากลูกค้าเพียงรายเดียว ซึ่งจากการคาดคะเนพบว่ากำไรที่เกิดขึ้น อาจจะให้ผลกำไรแก่บริษัทแค่จำนวน 1 ปี หรือ 2 ปี และอาจจะไม่มีกำไรเกิดขึ้นอีกในอนาคต และก็เป็นไปได้อีกว่า หุ้นนั้นอาจจะเกิดจากเงินคืนจากภาษีก้อนโตของเจ้าของบริษัท แต่ก็อาจจะเป็นได้ว่าเป็นข้อยุติทางกฎหมายของบริษัทนั้น ๆ

ตัวเลขกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทที่เกิดขึ้นมีแนวโน้มการเติบโตในอัตราที่คงที่หรือไม่

ตัวเลขกระแสเงินสดที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานของบริษัท คือ เงินสดที่ได้รับจากการบริหารในการขับเคลื่อนของบริษัท ซึ่งตัวเลขทั้งหมดจะมาจาก ตัวเลขของกระแสเงินสด (รายได้สุทธิ ค่าเสื่อม การปรับรายได้สุทธิ การเปลี่ยนแปลงของลูกหนี้ การเปลี่ยนแปลงคงคลังของสินค้า และการเปลี่ยนแปลงในกิจกรรมการดำเนินงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง) ซึ่งบริษัทที่มีการดำเนินงานที่ดีจะต้องสะท้อนกระแสเงินสดที่มีผลลัพธ์เป็นค่าบวก

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในการลงทุนสำหรับนักลงทุน คือ การหลีกเลี่ยงการลงทุนในบริษัทที่มีรายได้สุทธิเป็นบวก และมีกระแสเงินสดติดลบ เพราะนี่เป็นวิธีการทางบัญชีแบบคาบเส้น เพื่อให้แสดงผลลัพธ์รายได้สุทธิของบริษัทเป็นผลบวกนั่นเอง

การเลือกสรรบริษัทสำหรับการลงทุน โดยมองจากสินค้าและยอดขายของบริษัท เป็นทางเลือกที่ดีหรือไม่

การเลือกสรรบริษัทสำหรับการลงทุน หากนักลงทุนเลือกที่จะมองที่ตัวสินค้าของบริษัทนั้น ๆ ที่สามารถทำยอดขายและกำไรสูง ถือได้ว่าหากบริษัทมีกำไรจากการขายสินค้าสูง ก็นับเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จและสร้างกำไรที่ดีได้ อย่างไรก็ควรสิ่งที่ควรคิดต่อยอดในการตัดสินใจก็คือ หากนักลงทุนลงทุนซื้อหุ้นเพียงเพราะกำไรเหล่านั้น คุณจำเป็นต้องหาให้ได้ว่ายอดขายและกำไรที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากสินค้าตัวใดของบริษัท รวมถึงเปอร์เซ็นต์กำไรที่เกิดขึ้นจากการขายสินค้านั้น ๆ ด้วย

เพราะหากบริษัทที่เราสนใจมีขนาดใหญ่และมีสินค้าที่ให้กำไรสูงแต่สินค้าเหล่านั้นมีปริมาณน้อยกว่า 10% ของบริษัท ก็ถือได้ว่าหากเราเลือกที่จะลงทุนซื้อหุ้นในบริษัทนี้ ความคุ้มค่าและผลตอบแทนที่จะได้รับ ก็อาจจะไม่พึงพอใจเท่าที่ควร หรือหากจะให้แน่ใจคุณจำเป็นจะต้องวิเคราะห์การดำเนินงานและภาพรวมของทั้งบริษัท

การเลือกบริษัทสำหรับการลงทุนจากการวิเคราะห์การเจาะกลุ่มลูกค้าของบริษัท

การวิเคราะห์ฐานลูกค้าของบริษัทที่นักลงทุนเลือกลงทุน ถือเป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่ง เพราะหากธุรกิจสามารถทำกำไรได้ดี แต่พบว่า กำไรต่อหุ้นมากกว่า 10 – 20 % เกิดจากการทำกำไรต่อหุ้นของลูกค้าเพียงรายเดียว นั่นถือเป็นข้อเสียเปรียบของบริษัทนั้น

เพราะหากเป็นกรณีที่ลูกค้ารายนั้นต้องการลดจำนวนหรือลดราคาหุ้น นั่นก็คือผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่ออัตรากำไรของบริษัทนั้น ๆ และเป็นไปได้ว่าบริษัทนั้น ๆ จำเป็นจะต้องรักษาลูกค้ารายใหญ่นี้ไว้และลดราคาลง และหากธุรกิจมีมูลค่าลดลงแล้ว ถ้าเราเลือกลงทุนในบริษัทนี้ ผลตอบแทนด้านรายได้ของนักลงทุนก็จะลดลงไปด้วยเช่นกัน และหากเกิดกรณีที่แย่ไปกว่านั้นคือ ลูกค้ารายใหญ่รายนั้นยกเลิกสัญญาก็จะส่งผลกระทบต่อกำไรต่อหุ้นจำนวนมหาศาลให้แก่บริษัทอย่างแน่นอน

ข้อคิดจาก วอร์เรน บัฟเฟตต์

วอร์เรน บัฟเฟตต์มักจะมองหาความแน่นอนอย่างสม่ำเสมอ ยกตัวอย่างเช่น เขามักจะมองหาวิธีการต่าง ๆ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตของเขา ดังเช่นเหตุการณ์นี้

จากการบอกเล่าของ มาร์แชล ไวน์เบิร์ก ตัวแทนซื้อขายของ บริษัท กรันทัล แอนด์โจ ได้เล่าถึงประสบการณ์ที่เคยได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ณ แมนฮัตตัน

ซึ่งเขาได้เลือกทานเมนูแซนด์วิสแฮมแอนด์ชีสกัน ซึ่งมันมีรสชาติที่ยอดเยี่ยมมาก ต่อถัดมาในช่วงระยะเวลา 2-3 วัน เขาและวอร์เรน บัฟเฟตต์ได้ออกไปรับประทานอาหารด้วยกันอีกครั้ง 

บัฟเฟตต์ : เรากลับไปกินอาหารที่ร้านนั้นกัน (ซึ่งเขาหมายถึงร้านที่มีเมนูแซนด์วิสแฮมแอนด์ชีสนั่นเอง)

ไวน์เบิร์ก : แต่เราพึ่งไปกินกันมาเองนี่

บัฟเฟตต์ : ใช่แล้ว ร้านที่เราไปกินกันช่วง 2-3 วันก่อน ซึ่งรสชาติมันยอดเยี่ยมมาก

และเขาบอกขึ้นมาอีกว่า

แล้วเราจะเสี่ยงไปกินที่อื่นอีกทำไม ในเมื่อเรารู้อยู่แล้วว่าเราเคยกินอะไรไปแล้วมันคุ้มค่าแค่ไหน

และนี่ก็คือสิ่งที่ ไวน์เบิร์ก จดจำได้จากสิ่งที่ บัฟเฟตต์ ทำ เขากล่าวว่า “สิ่งที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ มองหาอย่างสม่ำเสมอ คือ การทำในสิ่งที่จะให้ผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยมและคุ้มค่า ซึ่งสิ่งนั้นจะไม่ทำให้เขาผิดหวังในภายหลังแน่นอน” หรือพูดง่าย ๆ ว่า “การมองหาสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ธุรกิจและการดำเนินชีวิต” นั่นเอง

Thanks for Reading

Enjoyed this post? Share it with your networks.

Leave a Feedback!