รายการวินิจฉัยหุ้นบริษัทซึ่งมีความผันผวนสูง และ เงินเฟ้อ

หุ้นซึ่งมีความผันผวนสูง

หุ้นซึ่งมีความผันผวนสูงนั้น คือหุ้นที่มีความสัมพันธ์กับวัฏจักรขององค์กรและวัฏจักรของเศรษฐกิจ ซึ่งหากคุณมองเห็นว่าเป็นการลงทุนที่เป็นไปได้ คุณต้องทำความเข้าใจในบริบทขององค์กรและเศรษฐกิจเป็นอย่างดี เพราะมันสามารถชักนำให้องค์กรของคุณเจริญรุ่งเรืองหรือตกต่ำได้ภายในเวลาอันสั้น

เราสามารถแบ่งสินค้าต่างๆออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ สินค้าจำเป็น และ สินค้าฟุ่มเฟือย

สินค้าที่จำเป็น

องค์กรที่มีความเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่จำเป็น ถือว่าเป็นองค์กรที่ปราศจากความผันผวน ตัวอย่างเช่น อาหาร สินค้าเพื่อสุขภาพ ประกันภัย ไฟฟ้า น้ำ และก๊าซ

สินค้าที่ฟุ่มเฟือย

ส่วนองค์กรที่มีความเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่ฟุ่มเฟื่อย ถือว่าเป็นองค์กรที่มีความผันผวนสูง ผู้คนสามารถเลื่อนการซื้อสินค้าหรือบริการเหล่านี้ออกไปได้เรื่อยๆ ตัวอย่างเช่น รถยนต์ การท่องเที่ยว เครื่องประดับ เฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น

การทำกำไรจากหุ้นที่มีความผันผวนสูง

การจะทำกำไรจากหุ้นที่มีความผันผวนสูง คุณจะต้องซื้อตั้งแต่ช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว แล้วถือหุ้นไว้จนเศรษฐกิจเริ่มขยายตัว ก่อนจะเทขายทิ้งไปเมื่อเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว

เมื่อเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว รายได้ภายในองค์กรซึ่งมีความผันผวนสูงจะร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งหากคุณถือหุ้นนั้นไว้ คุณอาจจะต้องสูญเสียกำไรทั้งหมดไป เพราะตลาดนั้นจะพยายามคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีก 6 เดือนข้างหน้า แต่สิ่งที่ตลาดคาดเดานั้นก็อาจจะไม่ได้ถูกต้องไปเสียหมด คุณจึงไม่มีความจำเป็นต้องขายหุ้นเมื่อทุกคนพยายามขายกัน คุณเพียงแค่ขายเมื่อมีคนต้องการซื้อมันเท่านั้นก็เพียงพอ

แต่จะเป็นการดีที่สุดถ้าคุณขายหุ้นนั้นระหว่างที่อยู่ในจุดสูงที่สุด เพราะทุกคนต้องการเป็นเจ้าของหุ้นนั้น และคุณก็ไม่ต้องเสี่ยงกับการชะลอตัวของหุ้นนั้นที่อาจเกิดขึ้นในเวลาต่อไปอีกด้วย แม้ว่าหุ้นนั้นจะขึ้นหลังจากที่คุณเพิ่งจะขายไป แต่ในท้ายที่สุดแล้วมันก็จะร่วงลงมาอีกครั้งตามวัฏจักรของตลาด หากคุณคิดจะซื้อ ก็ควรซื้อก่อนที่เศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัว หลังจากนั้นคุณควรจะสนใจเรื่องขององค์กรว่ามีสินทรัพย์เพียงพอที่จะประคองตัวเองต่อไปได้หรือไม่ เพื่อไม่ให้ประสบกับภาวะล้มละลาย และจะต้องรอต่อไปจนกว่าจะเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ คุณอาจจะเสียผลกำไรไปบ้างในระหว่างนั้น แต่ก็มักจะไม่มีปัญหาอะไรถ้าหากเศรษฐกิจนั้นกำลังฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป

เงินเฟ้อ

เงินเฟ้อเปรียบเสมือนภาษีอย่างหนึ่งในตลาด ดังที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้เคยกล่าวเอาไว้ คณิตศาสตร์นั้นทำให้เราเห็นได้ชัดเจนว่า เงินเฟ้อคือภาษีที่สร้างความสูญเสียมากกว่าทุกสิ่งที่กฎหมายบังคับใช้ ภาษีเงินเฟ้อมีความสามารถพิเศษในการผลาญเงินทุน แท้จริงแล้วไม่มีความแตกต่างใดในการที่คนๆหนึ่งมีบัญชีเงินออมอัตราดอกเบี้ย 5% ไม่ว่าเขาจะจ่ายภาษีเงินได้ 100% ในช่วงที่อัตราเงินเฟ้อเท่ากับศูนย์ หรือไม่จ่ายภาษีเงินได้ในช่วงที่อัตราเงินเฟ้อเท่ากับ 5% ไม่ว่าจะทางใดเขาก็ต้องสูญเสียเงินอยู่ดี อัตราภาษีเงินได้ 120% นั้นอาจจะฟังดูแย่ แต่แท้ที่จริงแล้วอัตราเงินเฟ้อ 5% นั้นก็มีค่าเท่ากันในทางเศรษฐกิจ

โดยทั่วไปในโลกของธุรกิจนั้น ค่าแรง ค่าทำนุบำรุง และการลงทุนจะเพิ่มมากขึ้นตามกาลเวลาเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อ ถ้าหากคุณสามารถลงทุนไปกับกิจการที่สามารถเพิ่มราคาของสินค้าเพื่อสะท้อนให้เห็นต้นทุนของวัตถุดิบที่สูงขึ้นได้ แสดงว่าคุณกำลังมองธุรกิจที่ดีอยู่ เพราะธุรกิจส่วนมากจะมีการแข่งขันสูง หากเพิ่มราคาของสินค้าเพราะอัตราเงินเฟ้อ เขาก็จะสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับคู่แข่งขันของเขาไป แต่ถ้าหากธุรกิจที่คุณกำลังลงทุนนั้นสามารถเพิ่มราคาของสินค้าได้ ธุรกิจนั้นก็จะสามารถรักษาอัตรากำไรเอาไว้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเขาสามารถเพิ่มอัตราของผลกำไรให้มากกว่าอัตราเงินเฟ้อได้ก็จะถือว่ายอดเยี่ยมมาก และผู้ถือหุ้นของธุรกิจนั้นก็จะสามารถเก็บเกี่ยวผลกำไรต่อไปได้อีกเป็นเวลานาน

Thanks for Reading

Enjoyed this post? Share it with your networks.

Leave a Feedback!